วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559

สุขภาพจิต

Motto Public Health

P..Prevention การป้องกัน
U..Uphold การส่งเสริมเเละสนับสนุน
B..Bestead การเอื้ออำนวย
L..Learning การศึกษา การเรียนรู้
I..Ideal อุดมการณ์ อุดมคติ
C..Care การดูเเล
H..Heart หัวใจ(ใจรัก)
E..Efficiency ประสิทธิภาพ
A..Allegiance การอุทิศตน
L..Liaise การติดต่อประสานงาน
T..Treatment การรักษาฟื้นฟู
H..Hardy อดทน เเข็งเเรง


Public ยึดมั่นในอุดมคติ อุดมการณ์ โดยการศึกษาเเละเรียนรู้ที่จะส่งสริมเเละสนับสนุน การป้องกัน เพื่อเอื้ออำนวยในการดูเเลสุขภาพของประชาชน

Health เน้นการรักษาฟื้นฟูสุขภาพของประชาชน ด้วยการติดต่อประสานงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด มีความอดทนอดกลั้นเเละอุทิศตนด้วยใจรัก

Public Health ยึดมั่นในอุดมคติ อุดมการณ์ โดยการศึกษาเเละเรียนรุ้ ในการติดต่อประสานงาน อย่างมีความอดทนเเละอุทิศตนด้วยใจรักที่จะส่งเสริมเเละเอื้ออำนวย ในการป้องกัน ดูเเลรักษา เเละการฟื้นฟูสุขภาพของประชาชนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558

จุลชีววิทยา เเละปรสิตวิทยา



-PROTOZOA>>

-PARASITE>>

-BACTERIA>>

-VIRUS>>

Virus


varicella-zoster virus (VZV)

Herpes zoster โรคงูสวัด
โรคงูสวัดเป็นโรคผิวหนังเกิดจากกลับติดเชื้อซ้ำของเชื้องูสวัดที่เรียกว่า varicella-zoster virus (VZV) ซึ่งเป็นเชื้อที่อยู่ในร่างกายทำให้เกิดตุ่มพองที่ผิวหนัง ปวดแสบร้อนมาก

สาเหตุโรคงูสวัด                                                                                                                                                                       งูสวัดเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่เรียกว่า Hepes Varicella Zoster เป็นชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคไข้สุกใส ผู้ที่เป็นโรคไข้สุกใสมาก่อนจะยังคงมีเชื้อไวรัสนี้ที่ปมประสาทสันหลัง ซึ่งเมื่อร่างกายอ่อนแปเชื้อสามารถสร้างเพิ่มจำนวน ทำให้เกิดโรคงูสวัดได้ แต่จะเกิดเฉพาะแนวประสาท ไม่ลุกลามกระจายออกไปเพราะร่างกายมีภูมิต้านทานต่อเชื้ออยู่แล้ว แนวเส้นประสาทที่พบบ่อยได้แก่ บริเวณเอว ก้นกบ ตา ใบหน้า ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เช่นผู้สูงอายุ หรือจากโรคเช่น เอดส์ การรับประทานยา steroid จะมีโอกาสที่จะเกิดโรคงูสวัดสูง

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด                                                                                                                                                   จากการสำรวจพบว่าผู้ใหญ่ร้อยละ 90 จะมีภูมิต่อเชื้องูสวัด ดังนั้นกลุมคนเหล่านี้ จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นงูสวัดประมาณ 1.5-3 ต่อประชากร 1000 คน ผู้ที่อายุมาก มะเร็ง หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิ ผู้ที่เปลี่ยนถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยเหล่านี้จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคงูสวัด 


 ตำแหน่งที่เกิดโรคงูสวัด
พบว่าตำแหน่งที่เกิดโรคงูสวัดพบได้บ่อย 3 ตำแหน่งได้แก่
·       ตามแนวเส้นประสาทไขสันหลัง ระหว่างรากประสาททรวงอกเส้นที่3ถึงระดับเอวข้อที่3( spinal root between T3 and L3)
·       ตามแนวเส้นประสาทสมองคู่ที่5 อาจจะทำให้เกิดตาบอดเรียกZoster ophthalmicus
·       ตามเส้นประสาทสมองคู่ที่7 ทำให้มีอาการปากเบี้ยวครึ่งซีกเรียก Ramsay Hunt syndrome

อาการโรคงูสวัด
·       จะมีอาการปวดตามตัวก่อนมีผื่น 2-3 วัน
·       มักจะไม่มีไข้อาจจะมีไข้ต่ำๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดศีรษะ
·       ต่อมาจะมีอาการทางผิวหนัง อาจจะแค่คันผิวหนัง บางคนปวดแสบปวดร้อน บางคนเสียวที่ผิวหนัง สำหรับคนที่เป็นที่ใบหน้าจะมีอาการปวดศีรษะ เห็นแสงจ้าไม่ได้
·       ต่อมาอีก 1-5 วันจะมีผื่นแดงอยู่เป็นกลุ่ม ต่อมาเป็นตุมน้ำใส มักจะขึ้นอยู่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย ตามเส้นประสาทที่เป็นโรค ตุ่มน้ำใสจะคงอยู่ประมาณ5 วันต่อมาผื่นจะตกสะเก็ดและหายไปใน2-3สัปดาห์ และอาจจะทิ้งรอยแผลเป็น ผู้ป่วยที่มีภูมิอ่อนแรงเช่น โรคมะเร็ง โรคเอดส์ ผู้ที่ได้รับยากดภูมิ จะเป็นโรคนี้ได้บ่อย และเป็นรุนแรง


ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคงูสวัด
·       เคยเป็นโรคไข้สุกใสมาก่อน
·       อายุมาก
·       เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
·       มีความเครียดทางอารมณ์
·       ได้รับอุบัติเหตุ

การวินิจฉัยโรคงูสวัด
·       ทำได้จากประวัติการเจ็บป่วย ลักษณะของผื่น แต่ผู้ป่วยบางคนลักษณะผื่น และตำแหน่งไม่เหมือนงูสวัดจึงจำเป็นต้องตรวจวินิจฉัยเพิ่ม ได้แก่การเพาะเชื้อไวรัส การย้อมด้วยวิธี Direct immunofluorescence assay
·       Tzanck smear นำเอาน้ำที่ก้นแผลมาย้อมจะพบเซลล์ตัวใหญ่ผิดปรกติ

โรคนี้จะติดต่อหรือไม่?
เชื้อไวรัสที่อยู่ในผื่นสามารถติดต่อโดยการสัมผัส สำหรับผู้ที่ไม่เคยเป็นไขสุกใสมาก่อนก็อาจจะกลายเป็นไข้สุกใส สำหรับคนที่เป็นไข้สุกใสแล้วก็จะมีโอกาสเป็นงูสวัดเพิ่มมากขึ้น


โรคแทรกซ้อนที่สำคัญของงูสวัด
·       มีอาการปวดเส้นประสาท Postherpetic neuralgia ซึ่งเป็นโรคแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุด
·       เยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบ อาการที่สำคัญได้แก่ meningoencephalitis
o  ปวดศีรษะ
o  ไข้
o  มองแสงจ้าไม่ได้
o  คอแข็ง
o  อาเจียน
·       ประสาทไขสันหลังอักเสบ
·       หลอดเลือดอักเสบ.
·       อาจจะทำให้ปอดอักเสบ ตับอักเสบในรายที่เป็นมะเร็ง
·       งูสวัดเข้าตาซึ่งอาจจะทำให้ตาบอด

·       ปากเบี้ยว


ลักษณะผื่นของงูสวัด


งูสวัดที่เป็นบริเวณลำตัว


งูสวัดที่เส้นประสาทคู่ที่5


ตุ่มน้ำของงูสวัดเส้นประสาทคู่ที่7


ภาพแสดงผื่นที่เริ่มหายตกสะเก็ด

การป้องกัน
การป้องกันโรคงูสวัดคือ หลีกเลี่ยงสัมผัสผื่นและตุ่มโรคของผู้ป่วย โดยเฉพาะเมื่อไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส หรือไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน
บางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แนะนำการฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด (วัคซีนคนละชนิดกับป้องกันโรคอีสุกอีใส แต่เป็นวัคซีนที่ยังไม่แพร่หลาย) ในผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ในประเทศเรา เมื่อสนใจวัคซีนตัวนี้ควรปรึกษาแพทย์




Bacteria


Bacillus anthracis
Bacillus anthracis   เป็นแบคทีเรียสาเหตุของโรค Anthrax ซึ่งเป็นโรคติดต่อร้ายแรงในสัตว์กินหญ้า (herbivore) สัตว์แต่ละชนิดมีความไวต่อการเกิดโรคต่างกัน ในโค กระบือ แพะ แกะ ติดโรคได้ง่ายที่สุด รองลงมาได้แก่ ม้า สุกร สุนัข และแมว พวกสัตว์ปีกและสัตว์เลือดเย็นมีความต้านทานต่อโรคนี้โดยธรรมชาติ  คนติดโรคได้ง่ายแต่ไม่มีการติดต่อระหว่างคนด้วยกันคนติดโรคได้เนื่องจากมีการระบาดของโรคในสัตว์ก่อน หรือติดจากผลิตภัณฑ์สัตว์ที่มีการปนเปื้อน เช่น ขนสัตว์ หนัง กระดูก และเนื้อตาก เป็นต้น

ลักษณะทั่วไป
       Bacillus anthracis   เป็นแบคทีเรียแกรมบวกชนิดแท่งเจริญได้ทั้งในบรรยากาศที่มีออกซิเจนหรือไม่มีออกซิเจน (facultative anaerobe) เชื้อสร้างสปอร์ได้ในภาวะที่มีออกซิเจนตอนช่วงท้ายของระยะ exponential phase โดยทั่วไปสปอร์ อยู่ที่ตำแหน่งตรงกลาง (central) หรือใกล้ตรงกลาง (paracentral) ของเซล เชื้อหนึ่งเซลสรัางได้ หนึ่งสปอร์ สปอร์มีความทนทานต่อสภาพแวคล้อมต่างๆได้นานหลายสิบปี โดยที่ยังคงความสามารถในการก่อโรค เชลของ Bacillus anthracis   เป็นรูปแท่งขนาด 4 X 1 ไมครอน ปลายเหลี่ยม เซลจากสิ่งส่งตรวจจากคนและสัตว์ที่มีการติดเชื้อ เรียงต่อกันเป็นสายสั้น ส่วนเซลที่ขึ้นบนอาหารเพาะเชื้อ จะเรียงตัวเป็นสายยาว 


ถิ่นที่อยู่
      พบทั่วไปตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในดินที่มีซากสัตว์ที่ตายด้วยโรคแอนแทรกซ์ ทำให้แพร่เชื้อได้ทางฝุ่น , น้ำ และวัสดุจากพืช สัตว์ เช่น ขน กระดูก หนัง และอาหารสัตว์ 

การทำให้เกิดโรคในคน   
ติดต่อโดยการสัมผัส หายใจ หรือ กิน สปอร์ของ B.anthracis   ที่มาจากสัตว์หรือผลิตภัณฑ์สัตว์ที่เป็นโรค จากนั้นภายในเวลา 2-3 ชั่วโมงหลังเชื้อเข้าสู่ร่างกาย สปอร์จะเจริญเป็นเซล (Vegetative form) ที่มีแคปซูล จึงช่วยป้องกันการเก็บกินของเม็ดเลือดขาว ทำให้เพิ่มจำนวนมากมายในร่างกาย ทำให้เกิดการติดเชื้อและเป็นโรคแอนแทรกซ์ในที่สุด

Bacillus anthracis   ทำให้เกิดโรคในคนได้ 3 รูปแบบคือ
1. ติดเชื้อที่ผิวหนัง (Cutaneous Anthrax)
         เป็นการติดเชื้อที่พบมากที่สุด พบประมาณ 95-99% ของผู้ป่วยแอนแทรกซ์10 ติดเชื้อโดยสปอร์เข้าทางรอยถลอกและบาดแผล มักเป็นที่มือ แขน คอ หรือขา สปอร์ของเชื้อที่อยู่ในแผลจะเจริญเป็นบาซิลไล มีระยะฟักตัว (incubation period) 2-5 วัน ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเป็นตุ่มแข็ง (papule) จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นตุ่มมีน้ำใสอยู่ภายใน (vesicle) และแตกออกกลายเป็นแผลหลุมสีดำ (black eschar) คล้ายรอยที่ถูกจี้ด้วยบุหรี่ จากนั้นจะเกิดการบวมนุ่มชนิดกดแล้วไม่บุ๋ม(gelatinous nonpitting edema) รอบๆแผลสีดำ ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บเรียกรอยโรคนี้ว่า malignant pustule ในรายที่ไม่ได้รับการรักษาอาจมีการลุกลามของเชื้อไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณข้างเคียง และจะกระจายไปตามกระแสเลือด ทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ (septicemia) และตายในที่สุด ผู้ป่วยที่ไม่ได้การรักษามีอัตราตายน้อยกว่า 20% 10


2. ติดเชื้อทางเดินระบบหายใจ (Pulmonary Anthrax , Woolsorter's disease)
           เกิดจากการหายใจเอาสปอร์ของเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เช่นจากการสางขนสัตว์หรือสูดกระดูกป่น เป็นต้น ทำให้มีการบวมน้ำและจุดเลือดออกเป็นหย่อมๆที่เนื้อปอด และเกิด pleural effusion แต่จะไม่พบ pneumonia อาการทั่วไปคล้ายไข้หวัดใหญ่ มีไข้ กล่องเสียงและหลอดคออักเสบ หายใจลำบากและเร็ว สุดท้ายจะเข้ากระแสโลหิตเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ (septicemia) เยื่อหุ้มสมองและไขสันหลังอักเสบมีเลือดออก (haemorrhagic meningitidis) มีอัตราการตายสูง แยกเชื้อได้ในเสมหะ เลือด และน้ำไขสันหลัง

3. ติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร (Intestinal Anthrax)
           เป็นการติดเชื้อที่รุนแรงที่สุด พบไม่บ่อยนัก ติดเชื้อจากการกินเนื้อสุกๆดิบๆ จากสัตว์ที่เป็นโรค ผู้ป่วยจะแสดงอาการคออักเสบ ปวดท้องอย่างรุนแรง มีไข้ อาเจียน ท้องเสียเป็นเลือด และช็อค มีอัตราการตายสูง แยกเชื้อได้จากอุจจาระ



ถิ่นที่อยู่
      พบทั่วไปตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในดินที่มีซากสัตว์ที่ตายด้วยโรคแอนแทรกซ์ ทำให้แพร่เชื้อได้ทางฝุ่น , น้ำ และวัสดุจากพืช สัตว์ เช่น ขน กระดูก หนัง และอาหารสัตว์ 

การทำให้เกิดโรคในคน   
ติดต่อโดยการสัมผัส หายใจ หรือ กิน สปอร์ของ B.anthracis   ที่มาจากสัตว์หรือผลิตภัณฑ์สัตว์ที่เป็นโรค จากนั้นภายในเวลา 2-3 ชั่วโมงหลังเชื้อเข้าสู่ร่างกาย สปอร์จะเจริญเป็นเซล (Vegetative form) ที่มีแคปซูล จึงช่วยป้องกันการเก็บกินของเม็ดเลือดขาว ทำให้เพิ่มจำนวนมากมายในร่างกาย ทำให้เกิดการติดเชื้อและเป็นโรคแอนแทรกซ์ในที่สุด

Bacillus anthracis   ทำให้เกิดโรคในคนได้ 3 รูปแบบคือ
1. ติดเชื้อที่ผิวหนัง (Cutaneous Anthrax)
         เป็นการติดเชื้อที่พบมากที่สุด พบประมาณ 95-99% ของผู้ป่วยแอนแทรกซ์10 ติดเชื้อโดยสปอร์เข้าทางรอยถลอกและบาดแผล มักเป็นที่มือ แขน คอ หรือขา สปอร์ของเชื้อที่อยู่ในแผลจะเจริญเป็นบาซิลไล มีระยะฟักตัว (incubation period) 2-5 วัน ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเป็นตุ่มแข็ง (papule) จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นตุ่มมีน้ำใสอยู่ภายใน (vesicle) และแตกออกกลายเป็นแผลหลุมสีดำ (black eschar) คล้ายรอยที่ถูกจี้ด้วยบุหรี่ จากนั้นจะเกิดการบวมนุ่มชนิดกดแล้วไม่บุ๋ม(gelatinous nonpitting edema) รอบๆแผลสีดำ ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บเรียกรอยโรคนี้ว่า malignant pustule ในรายที่ไม่ได้รับการรักษาอาจมีการลุกลามของเชื้อไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณข้างเคียง และจะกระจายไปตามกระแสเลือด ทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ (septicemia) และตายในที่สุด ผู้ป่วยที่ไม่ได้การรักษามีอัตราตายน้อยกว่า 20% 10


2. ติดเชื้อทางเดินระบบหายใจ (Pulmonary Anthrax , Woolsorter's disease)
           เกิดจากการหายใจเอาสปอร์ของเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เช่นจากการสางขนสัตว์หรือสูดกระดูกป่น เป็นต้น ทำให้มีการบวมน้ำและจุดเลือดออกเป็นหย่อมๆที่เนื้อปอด และเกิด pleural effusion แต่จะไม่พบ pneumonia อาการทั่วไปคล้ายไข้หวัดใหญ่ มีไข้ กล่องเสียงและหลอดคออักเสบ หายใจลำบากและเร็ว สุดท้ายจะเข้ากระแสโลหิตเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ (septicemia) เยื่อหุ้มสมองและไขสันหลังอักเสบมีเลือดออก (haemorrhagic meningitidis) มีอัตราการตายสูง แยกเชื้อได้ในเสมหะ เลือด และน้ำไขสันหลัง

3. ติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร (Intestinal Anthrax)
           เป็นการติดเชื้อที่รุนแรงที่สุด พบไม่บ่อยนัก ติดเชื้อจากการกินเนื้อสุกๆดิบๆ จากสัตว์ที่เป็นโรค ผู้ป่วยจะแสดงอาการคออักเสบ ปวดท้องอย่างรุนแรง มีไข้ อาเจียน ท้องเสียเป็นเลือด และช็อค มีอัตราการตายสูง แยกเชื้อได้จากอุจจาระ

Bacillus ที่มีความสำคัญในอุตสาหกรรมอาหาร
Bacillus sterothermophilus และ Bacillus pepo เจริญได้ในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูง (thermophilic bacteria) ทำให้เกิดการเสื่อมเสียของอาหารกระป๋อง (canned food spoilage) ชนิด flat sour spoilage ในอาหารกระป๋องที่เป็นกรดต่ำ (low acid canned food) เนื่องจากระหว่างการเจริญจะเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต (carbohydrate) ในอาหารเป็นกรดอินทรีย์ ทำให้อาหารมีรสเปรี้ยว และมีค่า pH ลดลง แต่ไม่มีการสร้างแก๊ส ทำให้กระป๋องไม่บวม
Bacillus coagulans (Bacillus thermoacidurans) เป็น thermophilic bacteria ทำให้เกิดการเสื่อมเสียของอาหารกระป๋อง (canned food spoilage) ชนิด flat sour spoilage สำหรับอาหารกระป๋องที่เป็นกรด (acid canned food) หรืออาหารปรับกรด (acidified food)
Rope spores เกิดจาก Bacillus subtilis และ Bacillus mesentericus (หรืออาจเรียกว่า Bacillus pumilus) แบคทีเรียนี้ปนเปื้อนในขนมปัง และวัตถุดิบสำหรับผลิตขนมปัง ทำให้เกิดการเสื่อมเสีย (microbial spoilage) โดยจะย่อยสลายขนมปัง และผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ (bakery) ทำให้มีลักษณะเหนียวติดกัน เป็นเเส้นยืด เป็นยางคำว่า ropey-ness หมายถึงลักษณะของขนมปังที่เหนียวเป็นเส้น เหมือนเส้นใยแมลงมุม มีกลิ่นเหม็นเหมือนแคนตาลูปสุกจัด แหล่งที่มาของเชื้อในขนมปังส่วนใหญ่มาจากวัตถุดิบ ประเภทของแห้ง เช่น แป้งสาลี และยีสต์แห้ง สปอร์ของเชื้อจะทนต่อความร้อนสูง ทนต่ออุณหภูมิระหว่างการอบ (baking) ได้
2. ใช้ในการหมักอาหาร (fermentation) เช่น ถั่วเน่า หรือ นัตโตะ


 นัตโตะ เป็นอาหารหมักของประเทศญี่ปุ่น
Bacillus ที่มีความสำคัญในอุตสาหกรรมอาหาร
Bacillus sterothermophilus และ Bacillus pepo เจริญได้ในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูง (thermophilic bacteria) ทำให้เกิดการเสื่อมเสียของอาหารกระป๋อง (canned food spoilage) ชนิด flat sour spoilage ในอาหารกระป๋องที่เป็นกรดต่ำ (low acid canned food) เนื่องจากระหว่างการเจริญจะเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต (carbohydrate) ในอาหารเป็นกรดอินทรีย์ ทำให้อาหารมีรสเปรี้ยว และมีค่า pH ลดลง แต่ไม่มีการสร้างแก๊ส ทำให้กระป๋องไม่บวม
Bacillus coagulans (Bacillus thermoacidurans) เป็น thermophilic bacteria ทำให้เกิดการเสื่อมเสียของอาหารกระป๋อง (canned food spoilage) ชนิด flat sour spoilage สำหรับอาหารกระป๋องที่เป็นกรด (acid canned food) หรืออาหารปรับกรด (acidified food)
Rope spores เกิดจาก Bacillus subtilis และ Bacillus mesentericus (หรืออาจเรียกว่า Bacillus pumilus) แบคทีเรียนี้ปนเปื้อนในขนมปัง และวัตถุดิบสำหรับผลิตขนมปัง ทำให้เกิดการเสื่อมเสีย (microbial spoilage) โดยจะย่อยสลายขนมปัง และผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ (bakery) ทำให้มีลักษณะเหนียวติดกัน เป็นเเส้นยืด เป็นยางคำว่า ropey-ness หมายถึงลักษณะของขนมปังที่เหนียวเป็นเส้น เหมือนเส้นใยแมลงมุม มีกลิ่นเหม็นเหมือนแคนตาลูปสุกจัด แหล่งที่มาของเชื้อในขนมปังส่วนใหญ่มาจากวัตถุดิบ ประเภทของแห้ง เช่น แป้งสาลี และยีสต์แห้ง สปอร์ของเชื้อจะทนต่อความร้อนสูง ทนต่ออุณหภูมิระหว่างการอบ (baking) ได้
2. ใช้ในการหมักอาหาร (fermentation) เช่น ถั่วเน่า หรือ นัตโตะ
Bacillus
นัตโตะ เป็นอาหารหมักของประเทศญี่ปุ่น

3. บางสายพันธ์ของ Bacillus เป็นแบคทีเรียก่อโรค (pathogen) ที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ (food poisoning) ได้แก่
Bacillus cereus แบคที่เรียที่ทำให้เกิดโรค (pathogen) ชนิดหนึ่งเจริญได้ดีที่อุณหภูมปานกลาง (mesophilic bacteria) ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ (food poisoning) ชนิด Intoxication ซึ่งเกิดจากการบริโภคอาหารที่สร้างสารพิษ (toxin) ที่เชื้อสร้างขึ้น


การแยกชนิดเชื้อ B. anthracis และการแยกชนิดระดับ Genus
      เมื่อย้อมแกรม เห็นแบคทีเรียรูปร่างแท่ง ติดสีน้ำเงิน (แกรมบวก) มีการสร้างเอนไซม์ catalase มี สปอร์ คุณสมบัติดังกล่าวเป็นลักษณะเฉพาะของเชื้อ genus Bacillus   ทำให้แยก genus Bacillus   ออกจากเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกอื่นๆ Bacillus   บางสายพันธุ์อาจให้ผล catalase ลบ แต่มักเป็นสายพันธุ์ที่ไม่พบในห้องปฎิบัติการทางการแพทย์ B. anthracis   ส่วนใหญ่ไม่ haemolyse เลือดแกะ แต่ B. anthracis   บางสายพันธุ์อาจให้ weakly haemolysis ได้ (ตาราง 4) ดังนั้นการเลือกโคโลนีที่สงสัยว่าเป็น B. anthracis   หรือไม่จึงควรเลือก ลักษณะที่กล่าวในหัวข้อ colonial characteristic และโคโลนีที่ nonhaemolysis หรือ weakly haemolysis  เพื่อแยกวินิจฉัยในระดับ species ในต่อไป

การแยกวินิจฉัยระดับ species เบื้องต้น
       จะเห็นได้ว่า B. anthracis  ต่างจาก Bacillus   ชนิดอื่น ที่ Motilityและ Egg Yolk reaction  โดยที่ B. anthracis   motility ลบ และ egg yolk reaction บวก คือมี precipitation ขุ่นขาวรอบๆโคโลนีบน egg yolk agar จากคุณสมบัติทั้งสองนี้ ประกอบกับการดูรูปร่างลักษณะ cell เมื่อย้อมแกรม, colony morphology, การไม่ haemolysis หรือ weakly haemolysis บน sheep blood agar และประวัติอาการผู้ป่วย ทำให้สามารถวินิจฉัยเบื้องต้นได้ ว่าเป็น B. anthracis   อย่างไรก็ตามพบว่า B. cereus subspecies mycoides   8 ใน 38 สายพันธุ์ motility ลบ ( 21%) ซึ่งอาจทำให้แยกวินิจฉัยผิดเป็น B. cereus subspecies mycoides   ได้, B. anthracis   บางสายพันธุ์ ให้ผล weak haemolysis เช่นเดียวกับ B. cereus   บางสายพันธุ์ และ B. anthracis   บางสายพันธุ์ ให้ผล egg yolk reaction ลบ 7 ดังนั้นในการวินิจฉัยเบื้องตันจึงควรทดสอบความไวของเชื้อต่อเพนนิซิลินโดยวิธี disk diffusion และทดสอบ Cotton wool growth  ซึ่งเชื้อ B, anthracis   จะให้ผลบวก

Parasite


Strongy loides stercoralis
Morphology
                -ตัวผู้ จะเป็น free  living  form  ขนาด 0.7 มม. X 40-50  ไมโครเมตร มีหลอดอาหารแบบ rhabditiform หางงอเข้าด้านท้อง  มี 2 spicules  

               -ตัวเมีย จะมีทั้งที่เป็น free  living  form  ขนาด 1 มม. 50-75 ไมโครเมตร หลอดอาหารแบบ rhabditiform ระบบสืบพันธุ์ชนิด 2 ท่อ  ภายใน uterus มีไข่เรียงแถวเดี่ยวประมาณ 30-40 ฟอง  และที่เป็น parasitic  form  ขนาด 2.2 มม. X 30-74 ไมโครเมตร  หลอดอาหารแบบ filariform ปลายหางยาวแหลม   อวัยวะสืบพันธุ์เป็นชนิด 2 ท่อ ใน uterus มีไข่ประมาณ 20 ฟอง

               -ไข่  เป็น embryonated  egg ขนาด 50-58 X 30-34 ไมโครเมตร รูปร่างรี  เปลือกบางใสภายในมีตัวอ่อน ลักษณะคล้ายไข่ของพยาธิปากขอ


               -ตัวอ่อน จะ hatch ออกจากไข่ใน lumen ของลำไส้เล็ก  เป็น rhabditiform lavae  ขนาด 200 X 25 ไมโครเมตร buccal  cavity สั้น genital  primodium ขนาดใหญ่  ซึ่งพบในอุจจาระของคน  พัฒนาเป็นตัวอ่อนระยะที่ 2 และตัวอ่อนระยะที่ 3 (filariform larvae)  ขนาด  600 X 20ไมโครเมตร ปลายหางเว้า  เรียกว่า  “notch tail”  พบบนดิน ซึ่งตัวอ่อนระยะที่ 3 นี้เป็นระยะติดต่อของ  S. stercoralis    









Life cycle


วงชีวิตของพยาธิสตรองจิลอยเดส

พยาธิ สตรองจิลอยเดส เป็นพยาธิที่สามารถเจริญได้ใน 2 ลักษณะคือ parasitic form และ free living form  ดังนั้นวงชีวิตของพยาธิจะมีหลายลักษณะคือ
1.วงชีวิตโดยตรง          2.วงชีวิตอ้อม         3.วงชีวิตอัตโนมัติ
วงชีวิตทางตรง
            พยาธิตัวเมียออกไข่ในเยื่อบุลำไส้ ไข่ฟักเป็นตัวอ่อนแรบดิติฟอร์มออกมาอยู่ในลำไส้ ปนออกมาอยู่กับอุจจาระ เมื่ออุจจาระถูกถ่ายลงบนพื้นดินที่มีอุณหภูมิและความชื้นเหมาะสม  ตัวอ่อนจะเจริญเป็น filariform lavar ซึ่งเป็นระยะติดต่อ ในสภาวะที่เหมาะสมนี้ ตัวอ่อนฟิลาริฟอร์มสามารถอยู่ได้เป็นสัปดาห์ เมื่อสัมผัสกับผิวหนังของโฮสต์ ก็จะไชผ่านผิวหนังเข้าสู่กระแสโลหิต ผ่านตับ หัวใจ มาปอด ไชทะลุถุงลมปอด คลานออกมาทางหลอดลม แล้วกลืนลงสู่หลอดอาหาร ลงสู่ลำไส้เล็กเจริญเป็นพยาธิตัวเต็มวัยฝังตัวอยู่ในเยื่อบุลำไส้เล็กส่วนต้น(duodenum) และส่วนกลาง (jejunum)

วงชีวิตทางอ้อม
 ตัวอ่อนแรบดิติฟอร์ม ที่ถ่ายปนออกมากับอุจจาระลงสู่พื้นดินที่มีสิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสม ตัวอ่อนจะเจริญไปเป็นตัวเต็มวัยที่มีชีวิตอิสระ( free living  form) อยู่บนพื้นดินนั้น ตัวเต็มวัยจะมีหลอดอาหารแบบแรบดิติฟอร์ม ตัวผู้และตัวเมียจะผสมพันธุ์กัน แล้วออกไข่เจริญเป็นตัวอ่อนแรบดิติฟอร์มและตัวเต็มวัยที่มีชีวิตอิสระวนเวียนอยู่เช่นนี้จนกระทั่งเกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม  ตัวอ่อนแรบดิติฟอร์ทจะเจริญเป็นตัวอ่อนฟิลาริฟอร์มซึ่งเป็นระยะติดต่อ ไชผ่านผิวหนังเข้าสู่กระแสโลหิต ผ่านตับ หัวใจ มาปอด ไชทะลุถุงลมปอด คลานออกมาทางหลอดลม แล้วกลืนลงสู่หลอดอาหาร ลงสู่ลำไส้เล็กเจริญตัวเต็มวัยในลำไส้ต่อไป

 วงชีวิตอัตโนมัติ(autoinfection )
 พยาธิตัวเมียออกไข่ปนปนอยู่ในอุจจาระ ไข่ฟักเป็นตัวอ่อนแรบดิติฟอร์มในลำไส้ ในกรณีที่ผู้ป่วยท้องผูกอุจจาระคั่งค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่หรือทวารหนักนานกว่าปกติ ตัวอ่อนแรบดิติฟอร์มสามารถเจริญเป็นตัวอ่อนฟิลาริฟอร์ม ซึ่งเป็นระยะติดต่อ ตัวอ่อนระยะติดต่อที่อยู่ในลำไส้จะไชผ่านผนังของลำไส้บริเวณนั้นเข้าสู่หลอดเลือดฝอยและเข้าสู่กระแสโลหิต  ผ่านตับ หัวใจ มาปอด ไชทะลุถุงลมปอด คลานออกมาทางหลอดลม แล้วกลืนลงสู่หลอดอาหาร ลงสู่ลำไส้เล็กเจริญตัวเต็มวัยในลำไส้ต่อไป โดยไม่ต้องผ่านออกมากับอุจจาระกลายเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อบนพื้นดิน

Pathogenesis
ทำให้เกิด Strongyloidiasis หรือ Strongyloidosis
·       Cutaneous โดยการไชของระยะติดต่อ  ถ้ามีจำนวนมากจะมีการอักเสบของผิวหนัง
·       Pulmonary  infection การเดินทางของตัวอ่อนผ่านปอด เกิดมีจุดเลือดออกในปอด,เกิดการอักเสบของหลอดลมเล็กในปอดและขั้วปอด

Strongyloides stercoralis larva in lung


ระบาดวิทยา( Epidemiology )
การแพร่กระจายของพยาธิสตรองจิลอยเดสมักพบควบคู่ไปกับท้องถิ่นที่พบพยาธิปากขอ อุบัติการณ์เกิดโรคสูงในกลุ่มคนไข้ที่อยู่ร่วมกันในโรงพยาบาลโรคประสาทและในที่คุมขังนักโทษ

Diagnosis
1.ตรวจหาตัวอ่อนแรบดิติฟอร์ม ในอุจจาระใหม่ๆและตัวอ่อนฟิลาริฟอร์มในอุจจาระเก่า
 2.นำอุจจาระมาทำการเพาะเลี้ยงเพื่อดูตัวอ่อนฟิลาริฟอร์ม

Prevention
1.ให้การศึกษาถึงการติดต่อเข้าสู่ร่างกายของพยาธิ อย่าเดินเท้าเปล่า
2.ใช้ส้วมที่ถูกสุขลักษณะเพื่อป้องกันการเจริญของพยาธิบนดิน
3.ระวังการใช้ยากดภูมิคุ้มกันซึ่งจะทำให้จำนวนพยาธิในร่างกายเพิ่มขึ้น








Trichuris trichiura
โรคพยาธิแส้ม้า(Trichuriasis, Trichocephaliasis )
เป็นโรคที่เกิดจากพยาธิตัวกลมชนิด Trichuris trichiura (whip worm หรือพยาธิแส้ม้า) ตัวแก่อาศัยอยู่ที่ตอนปลายลำไส้เล็กส่วน ileum และลำไส้ใหญ่บริเวณ cecum และ colon โรค trichuriasis พบได้ทั่วไปโดยเฉพาะประเทศในเขตร้อน และมีระดับสาธารณสุขต่ำกว่ามาตรฐาน หรือในประชากรที่มีระดับการครองชีพต่ำและขาดการโภชนาการที่ดี ถือเป็นพยาธิตัวกลมในลำไส้ที่พบได้มากเป็นอันดับสองรองจาก พยาธิปากขอ(40.56%)
สำหรับประเทศไทยพยาธิแส้ม้าเป็นพยาธิที่พบได้ทั่วไป อัตราการติดพยาธิแส้ม้าโดยเฉลี่ยทั่วประเทศคิดเป็นร้อยละ 6.46 พบมากที่สุดทางภาคใต้โดยมีอัตราการติดพยาธิแส้ม้าร้อยละ 32.5 เมี่อเทียบกับภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเป็นร้อยละ 4.46, 0.12 และ0.01 ตามลำดับ

การติดต่อ
-โดยทานไข่ระยะฟักตัวเข้าสู่ทางเดินอาหาร ในลำไส้เล็กตัวอ่อนออกจากไข่ เจริญเติบโตเป็นตัวเแก่ เพศผู้และเพศเมีย โดยส่วนปลาย (anterior end) ฝังตัวอยู่ที่เยื่อบุผนังลำไส้พร้อมกับดูดเลือดจากผนังลำไส้เป็นอาหาร ทำให้พบเห็นเป็นกระจุกของพยาธิสีขาวตัวเล็กเป็นจำนวนมาก พบบริเวณตอนปลายลำไส้เล็กส่วน ileum และลำไส้ใหญ่ส่วน cecum

อาการทางคลีนิค 
ส่วนมากไม่มีอาการ แต่ถ้าตัวแก่มีมากเกินไป (โดยเฉลี่ย 400 ตัวขึ้นไป) จะทำให้มีอาการท้องร่วง และปอดท้องอย่างแรง อาการท้องร่วงอาจรุนแรงทำให้ถ่ายเป็นมูกเลือดได้ (bloody diarrhea) นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ป่วยซีด คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ถ้าเป็นกับเด็ก จะมีอาการซีด ท้องร่วงเรื้อรัง เกิดทุกขโภชนา(malnutrition) มี clubbing และส่วนมากมี rectal prolapse ถ้ามีตัวแก่มากเกินไปทำให้เกิดอาการลำไส้อุดตัน หรือช่องท้องอักเสบในกรณีเกิดไชทะลุผนังลำไส้ ในรายที่เป็นนานและมีตัวแก่จำนวนมาก อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางชนิด iron-deficiency anemia ผู้ป่วนที่ติดเชื้อพยาธิแส้ม้ามีโอกาสที่จะติดเชื้อปาราสิตอื่นๆได้ เช่น พยาธิไส้เดือน และเชื้ออะมิบาเป็นต้น

พยาธิสภาพ 
ลำไส้มีสีคล้ำจากเลือดคั่ง และมีการบวมที่เยื่อบุผิว บางครั้งอาจพบแผลที่ผนังลำไส้ได้ พยาธิสภาพจากกล้องจุลทรรศน์พบว่า crypts ของเยื่อบุผนังลำไส้ ขยายออกมีการขับเมือกออกมามากกว่าปกติและมี fibrin พร้อมกับเซลล์อักเสบชนิด neutrophils บางครั้งพบเลือดออกในชั้น submucosa การอับเสบมักจะไม่ลามไปเกินกว่าชั้น muscularis mucosa อาจพบตัวแก่ที่ยังไม่เจริญเต็มที่ฝังอยู่ในเยื่อบุผนังลำไส้ ในรายที่เกิดอาการรุนแรงและตาย พบจำนวนพยาธิแส้ม้าในลำไส้โดยเฉลี่ยประมาณ 400 ตัวต่อคน ตัวแก่ของพยาธิชนิดนี้อาจพบได้ในรูของไส้ติ่ง ทำให้เกิดไส้ติ่งอักเสบ (appendicitis) ได้

วงจรชีวิติของพยาธแส้ม้า

พยาธิตัวแก่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่โดยเฉพาะส่วนซีคั่ม ยาธิตัวเมียจะออกไข่วันละ 3000-7000 ฟอง ไข่จะออกมากับอุจาระ(1)ลงสู่พื้นดิน เมื่ออุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะ ไข่จะเจริญเติบโตเป็นระยะ 2 เซลล์ (2) และจะกลายเป็นตัวอ่อน( advanced cleavage stage) (3) และจะกลายเป็นตัวอ่อนในระยะติดต่อ (4) ๙งใช้เวลาทั้งหมด 15-30 วัน  หลังจากที่คนรับประทานไข่เข้าไป ไข่จะแตกเป็นตัวอ่อนที่ลำไส้เล็ก และตัวอ่อนจะเจริญเติบโต (5) และจะกลายเป็นตัวอ่อนที่ลำไส้ใหญ่ (6) โดยใช้ส่วนหัวและลำตัวฝังที่ผนังลำไส้ใหญ่ ตัวแก่จะมีความยาวประมาณ 4 เซ็นติเมตร ตัวเมียจะเริ่มวางไข่หลังจากรับประทาน 60-70 วัน ตัวพยาธิจะมีอายุประมาณ 1 ปี

อาการของโรค
ถ้ามีพยาธิน้อยอาจจะไม่เกิดอาการ แต่ถ้ามีพยาธิมากอาจจะเกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรืออุจาระเป็นมูกเลือด ซีดอ่อนเพลีย ทั้งนี้เพราะพยาธิจะทำให้เกิดการอักเสบของลำไส้ และเกิดติดเชื้อแบคทีเรีย

การวินิจฉัย โดยการตรวจพบไข่พยาธิในอุจจาระ หรือพบตัวแก่จากชิ้นเนื้อทางพยาธิ
ไข่จะมี plug ที่ขั้วทางปลายทั้งสองข้างมีเปลือกสีน้ำตาล




การรักษา
-ใช้ยา Thiabendazole ขนาด 25 มก/กกหลังอาหาร เช้าเย็นเป็นเวลา 3วัน
-Mebendazoleขนาด 100 มกเช้าเย็นเป็นเวลา 3 วัน


การป้องกัน
-ควรถ่ายอุจาระลงส้วม
-ไม่ควรรับประทานผักสดที่ล้างไม่สะอาด
-ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร